ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
โครงการรณรงค์น้อมนำ พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริ
แนวทางการทรงงาน และพระราชปรัชญา
สู่สถาบันการศึกษา สู่พสกนิกรชาวไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน เพื่อน้อมนำมาประพฤติเป็นวัตรปฏิบัติ
สนองพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ความเป็นมา และประวัติของ คพร.
นายพัลลภ สุวรรณมาลิก
ประธานคณะทำงานร่วมการปฏิบัติงานพัฒนาหมู่บ้านชนบท สนองแนวพระราชดาริ (คพร.)
ประธานวุฒิอาสาธนาคารสมองจังหวัดเชียงใหม่
รองประธานเครือข่ายวุฒิอาสาธนาคารสมอง 17 จังหวัดภาคเหนือ
คณะทำงานร่วมการปฏิบัติงานพัฒนาหมู่บ้านชนบท สนองแนวพระราชดำริ ได้รับความกรุณาอย่างสูงจาก ฯพณฯ องคมนตรี พลอากาศเอก กำธน สินธวานนท์ เป็นประธานในการก่อกำเนิดองค์กรขึ้น เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ทั้งนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงห่วงใยทุกข์สุขพสกนิกรโดยถ้วนหน้า เสด็จฯ ทรงงานพัฒนา พระราชทานความช่วยเหลือพสกนิกรและเกษตรกรผู้ยากไร้ แม้ในถิ่นทุรกันดารอย่างมิทรงคำนึงถึงความยากลำบากพระวรกาย ด้วยพระบารมีอันไพศาล ด้วยพระปรีชาสามารถ พระสติปัญญาอันสูงส่ง ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงดำรงพระองค์มั่นในธรรม พร้อมทั้งทรงเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จเถลิงถวัลย์ราชย์สมบัติ ทรงครองแผ่นดินตลอดระยะเวลาอันยาวนานด้วยพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ในพระปฐมบรมราชโองการ… “เราจักครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ประชาชนชาวไทยและประเทศไทยได้เป็นอยู่อย่างสุขสันติร่มเย็น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้แก่ปวงพสกนิกรชาวไทยโดยถ้วนทั่ว ด้วยซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่สุดประมาณ คณะผู้เกษียณอายุทั้งภาคราชการและภาคประชาชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งหลายท่านได้เคยทำงานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อุดมด้วยความรู้ ประสบการณ์และอุดมการณ์ จึงได้ก่อตั้งคณะทำงานฯ นี้ขึ้น เพื่อได้มีโอกาสปฏิบัติงานพัฒนาหมู่บ้านชนบท และงานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สนองพระมหากรุณาธิคุณ โดยยึดมั่นสนองแนวพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริฯ เป็นที่ตั้งเป็นสำคัญ
คณะทำงานร่วมฯ ได้ปฏิบัติงานด้านพัฒนาหมู่บ้านสืบมา และต่อมาได้ดำเนินงานโครงการรณรงค์สร้างฝายต้นน้ำลำธารและแฝก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยวิธีรณรงค์ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2547 ณ พื้นที่ตำบลห้วยงู อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อปี พ.ศ. 2548 คณะทำงานร่วมฯ ได้ร่วมปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดกับองค์กรวุฒิอาสาธนาคารสมองจังหวัดเชียงใหม่เรื่อยมา ในการปฏิบัติงานโครงการรณรงค์ดังกล่าว หลายภาคหน่วยทั้งภาครัฐและภาคประชาชน นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และแม้พระสงฆ์ ได้เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับผลสำเร็จด้วยดีได้ด้วยพลังแห่งความจงรักภักดี และด้วยพลังแห่งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรในปัญหาคุณภาพชีวิต และปัญหาอันเป็นผลกระทบจากการที่ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมถูกทำลายลงอย่างมาก พสกนิกรชาวไทยที่ได้ทราบและเข้าใจโครงการพระราชดำรินี้ โดยแนวทางการรณรงค์ อันเป็นการร่วมแรงร่วมใจของทุกหมู่เหล่า และทุกภาคส่วนทั้งภาคประชาชน และภาคราชการ ร่วมกันปฎิบัติงานสนองแนวพระราชดำริ ได้น้อมนำไปปฎิบัติกันเองอย่างกว้างขวางในพื้นที่ภาคเหนือ และพื้นที่อันเป็นต้นน้ำลำธาร โดยยึดหลักปฏิบัติ อาศัยวัสดุแห่งพื้นที่นั้นๆ มิต้องตั้งงบประมาณของรัฐมาดำเนินการโดยเฉพาะ มิต้องให้สิ้นเปลืองงบประมาณของรัฐ ใช้ปัญญา ใช้วัสดุในพื้นที่ และยึดมั่นในพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริแนวทางการทรงงานและพระราชปรัชญา และภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นหลัก ใช้งบประมาณจากการรวมทุนบ้างในการจัดหาอาหารและน้ำดื่ม การปฎิบัติงานโครงการรณรงค์สร้างฝายต้นน้ำลำธารและแฝก อันเนื่องมาจากพระราชดำริได้ปฎิบัติสืบเนื่องต่อมาร่วมกับองค์กรเครือข่ายต่างๆ เช่น พี่น้องประชาชน องค์กรอาสาสมัคร องค์กรภาครัฐ องค์กรภาคประชาชน พระสงฆ์ ศาสนิกชนต่างๆ ลูกเสือชาวบ้าน นักศึกษาวิชาทหาร โรงเรียนประถมศึกษา มัธยมศึกษา มหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งได้น้อมนำไปเป็นกิจกรรมนักศึกษา ข้าราชการ ตำรวจ กองพลทหารราบที่ 7 มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ กองพันทหารม้าที่ 1 กองกำลังผาเมือง และกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้น ได้จัดประชุมมอบหมายให้หน่วยงานภายใต้กองทัพภาคที่ 3 น้อมนำไปปฎิบัติ สนองพระมหากรุณาธิคุณฯ อันยิ่งใหญ่
ครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 นั้นเอง ด้วยสำนึกในมหากรุณาธิคุณ และเห็นคุณค่า และอรรถประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริ แนวทางการทรงงาน และพระราชปรัชญา แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย หากปวงพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ได้น้อมนำมาประพฤติปฎิบัติอย่างสม่ำเสมอจริงจัง จะทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นไปอย่างถูกทาง อย่างถูกต้อง และเที่ยงธรรม ประเทศและสังคมเกิดความสันติสุข พสกนิกรชาวไทยได้รับความเป็นธรรมโดยถ้วนหน้าอย่างแท้จริง และนับเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งที่พสกนิกรชาวไทยทุกคน จักต้องน้อมนำพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นดังกล่าวมาศึกษาให้กระจ่างแจ้งถ่องแท้ แล้วน้อมนำไปประพฤติเป็นวัตรปฎิบัติอย่างสม่ำเสมอ โดยถ้วนทั่ว ประเทศชาติจะสงบสุขร่มเย็น จะเป็นคุณต่อตนเองและต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นแนวทางหลักที่จะแก้ปัญหาของชาติ และแม้ของโลกในขณะนี้ได้ คณะทำงานร่วมฯ จึงมีความมุ่งมั่นขยายผลโครงการรณรงค์น้อมนำ พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริ แนวทางการทรงงาน และพระราชปรัชญา อันเป็นแนวทางแห่งธรรม สู่สถาบันการศึกษา สู่พสกนิกรชาวไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนให้กว้างขวาง เพื่อประพฤติเป็นวัตรปฎิบัติ อันจะเป็นคุณใหญ่หลวงต่อประเทศชาติต่อแผ่นดิน ต่อมาคณะทำงานร่วมฯ ได้นำโครงการฯ บรรจุไว้ในโครงการบัณฑิตอุดมคติไทยของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งโครงการบัณฑิตอุดมคติไทยนี้ เป็นโครงการภายใต้ระเบียบแห่งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาแห่งชาติ ที่ครอบคลุมทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และโดยที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นแม่ข่ายโครงการบัณฑิตอุดมคติไทย ของมหาวิทยาลัยใน 17 จังหวัดภาคเหนือ โครงการรณรงค์ น้อมนำพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริฯ จึงเข้าสู่ 50 สถาบันอุดมศึกษาภาคเหนือ อันเป็นผลหลังการประชุมสัมมนา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2553
อันโครงการรณรงค์น้อมนำพระราชดำรัสฯ นี้จักต้องขยายให้กว้างขวาง เพื่อนำไปประพฤติปฎิบัติอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ จะเป็นผลดีเลิศต่อการพัฒนาประเทศชาติ พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริ แนวทางการทรงงาน และพระราชปรัชญา แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากน้อมนำมาประพฤติปฎิบัติ จะก่อให้เกิดสติ ปัญญา เกิดคุณธรรม การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างถูกแนวทาง ประเทศชาติและสังคมมีคุณธรรมประชาชนได้รับความเป็นธรรม ประเทศชาติมีสันติสุขร่มเย็น อันนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณสูงสุดต่อปวงพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ซึ่งพสกนิกรทั้งปวงจักต้องน้อมรำลึก สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและร่วมกันสนองพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นี้ตลอดชั่วกาลนาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใย ในภาวะสังคม คุณธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกรโดยถ้วนทั่ว จึงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานพระราชปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแก่พสกนิกร เพื่อได้น้อมนำไปปฎิบัติแก้ปัญหาของตน และแก้ปัญหาของชาติ อันเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิกรชาวไทยเป็นล้นพ้น และพระราชทานพระราชดำรัสถึงความสำคัญของเรื่องนี้ว่า “…เศรษฐกิจพอเพียง เปรียบเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่รองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็ม และลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป…” นับเป็นการพระราชทานปัญญาและสติแด่พสกนิกรชาวไทย ให้เกิดความมั่นคงในการดำรงชีวิต และการพัฒนาประเทศ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริ แนวทางการทรงงานและพระราชปรัชญา แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับเป็นปรัชญาอันทรงคุณค่ายิ่งของแผ่นดิน ซึ่งครอบคลุมต่อการแก้ปัญหาต่างๆ ของชาติซึ่งเป็นอยู่ในขณะนี้ได้ ควรที่พสกนิกรทุกคนทุกหมู่เหล่าทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ และรัฐบาล จักน้อมนำไปประพฤติปฎิบัติอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นคุณมหาศาล เป็นรากฐานความมั่นคงแก่ชีวิตของตนเอง และแก่ความมั่นคงของประเทศชาติโดยรวม และด้วยมิน้อมนำมาประพฤติปฎิบัติเป็นนิจ บ้านเมืองจักมั่นคง สงบสุขร่มเย็น
พระมหากษัตริยาธิราชย์เจ้าทุกพระองค์ แห่งพระราชอาณาจักรสยาม เมื่อทรงรวบรวมผืนแผ่นดินเป็นพระราชอาณาเขตแล้ว ทรงปกป้องเอกราช และอธิปไตยอย่างมั่นคง ทรงปกครองและทรงครองแผ่นดินโดยหลักธรรม หลักแห่งคุณธรรม ทรงสร้างรากฐานอันแข็งแรง ที่จะพัฒนาประเทศอย่างมั่นคงยั่งยืนไปในอนาคต ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสำคัญ ได้รับการยอมรับเป็นประเทศสำคัญหนึ่งในโลก เรามีภาษาพูดและเขียนเป็นของตนเอง มีเอกราชและอธิปไตยอันได้รับการปกป้องมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เรามีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระมหากษตริย์ยิ่งใหญ่ ที่ทรงได้รับการยกย่อง ว่าทรงเป็นเลิศ ทรงเป็นที่ชื่นชมจากทั่วโลก สหประชาชาติได้น้อมเกล้าฯ ถวายราชสดุดีและรางวัลในความล้ำเลิศในพระราชปัญญา ในพระราชปรีชาอันสูงส่ง และในพระมหากรุณาธิคุณไพศาล ที่ได้ส่งผลเป็นคุณไพศาลสุดคณานับต่อมนุษย์ชาตินานัปการ แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา นับเป็นสิ่งที่พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปีติยินดีโดยถ้วนหน้า และจำต้องตระหนัก และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่เป็นล้นพ้น และจักต้องสมานสามัคคีร่วมกันสนองพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่สุดประมาณประเทศก้าวไกล มั่นคงมีสันติสุข ยั่งยืนมิเสื่อมสลายได้
แต่สภาพสังคมของประเทศในขณะนี้ เปรียบเสมือนเรากำลังมองไม่เห็นเสาเข็มของประเทศชาติของเราและกำลังลืมเสาเข็มอันเป็นรากฐานสำคัญของประเทศชาติ การแตกแยกความสามัคคีของชนในชาติ การคดโกง ทุจริตคอรัปชั่น ทั้งในภาคราชการและภาคประชาชน กระทำอย่างเป็นขบวนการอย่างไร้สำนึกทางคุณธรรม เห็นสิ่งผิดเป็นถูก ไร้สำนึกว่าได้กระทำการอันเป็นการประทุษร้ายต่อชาติบ้านเมืองอันเป็นแผ่นดินที่อยู่อาศัยของตน ซึ่งอาจทำให้บ้านเมืองสูญสลายได้ นับได้ว่าความมั่นคงของประเทศชาติกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงภยันตรายอย่างมหันต์ ในการลำดับประเทศที่มีการทุจริตคอรัปชั่นสูงของประเทศต่างๆ ทั่วโลกนั้น ประเทศไทยอยู่ในลำดับต้นๆ ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชนและรัฐบาล แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควรแก้ไขโดยด่วน สำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควรเห็นเป็นวาระสำคัญของชาติ และบรรจุแผนแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง ไว้ในแผนพัฒนาประเทศ ควรพิจารณาเพิ่มคำว่า คุณธรรม ไว้ในชื่อของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อเป็นที่ตระหนักถึงความสำคัญแก่ประชาชนชาวไทยโดยถ้วนทั่ว เพื่อทุกภาคส่วนนำไปแก้ไขอย่างจริงจัง ชาติบ้านเมืองจึงจะมิเสื่อมเสียไปกว่านี้ พร้อมอีกทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาการบุกรุกทำลายป่าไม้ แหล่งต้นน้ำลำธาร อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่ายิ่งของชาติ ซึ่งเมื่อถูกทำลายไปแล้ว จะยากยิ่งที่จะนำหวนกลับคืนได้ และย่อมจะนำมาซึ่งภัยพิบัตินานาประการมาสู่มนุษย์ รวมทั้งปัญหาผู้ด้อยโอกาสทางด้านการศึกษา และด้านสังคม ได้รับความไม่เป็นธรรม ล้วนมาจากปัญหาประชาชนในชาติจำนวนไม่น้อย ทั้งภาคประชาชน และภาครัฐ ขาดคุณธรรมในตน ประชาชนในชาติเกิดความแตกแยก ขาดความสามัคคี ขาดความตระหนัก และสำนึกว่า ชาติบ้านเมืองขณะนี้ขาดความมั่นคงและตกอยู่ในมหันต์ภัยร้ายแรง ชาติจะตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นทาสด้านเศรษฐกิจ และสังคมแก่ชาติอื่น ประเทศชาติจะขาดความสงบสุขร่มเย็น ดังพระบรมราโชวาทแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร และอนุปริญญาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ 16 มกราคม 2512 ความว่า “…ทุกคนมีชาติบ้านเมืองเป็นที่เกิดที่อาศัย ทุกคนจะมีความสุขความเจริญได้ ก็เพราะบ้านเมืองเป็นปกติมั่นคง ผู้ที่ทำงานให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ย่อมได้รับประโยชน์เป็นส่วนของตนด้วย ผู้ที่ทำงานโดยเห็นแก่ตัวเบียดเบียนประโยชน์ส่วนรวม ย่อมบั่นทอนทำลายความมั่นคงของประเทศชาติ และในที่สุด ตนเองก็จะเอาตัวไม่รอด ขอให้ทุกคนเตรียมกาย เตรียมใจ ทำงานเพื่ออนาคตของชาติไทยเราต่อไป…” จึงมิควรที่ท่านทั้งหลาย เหล่าบัณฑิต และผู้ทรงปัญญา ตลอดจนพสกนิกรชาวไทยทั้งปวง จะนิ่งนอนใจและทอดธุระสำคัญของชาติ ไม่ควรรีรอจนเกินแก้ ควรเกิดความตระหนักรู้ ควรที่ทุกฝ่ายทุกภาคหน่วยจักมีความตระหนักจักได้รวมพลังสามัคคีหันมาร่วมมือกันก่อให้เกิดสติยั้งคิด และเกิดปัญญา และคุณธรรมแก่ตนเอง เสริมสร้างเสาเข็มอันเป็นรากฐานสำคัญของประเทศชาติให้มั่นคง โดยน้อมนำ พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริ ตลอดจนแนวทางการทรงงาน และพระราชปรัชญา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยไว้ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน มาประพฤติเป็นวัตรปฎิบัติ โดยถ้วนทั่ว อันนับเป็นการถวายสัตย์ปฎิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเป็นรูปธรรม จะแก้ปัญหาของชาติขณะนี้ได้ประเทศจะมีสันติสุขร่มเย็น มั่นคงยั่งยืนนาน สู่ลูกสู่หลานในอนาคต และหากพิจารณา พินิจ พิเคราะห์ ด้วยธรรม และปัญญาอย่างถ่องแท้แล้วก็เห็นได้ว่า พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระราชดำริ แนวทางการทรงงาน และพระราชปรัชญา แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ หัวใจ ของการพัฒนาประเทศ เพราะเป็นการพัฒนาคนจากภายใน ด้วยแนวทางแห่งธรรม แห่งคุณธรรม ประเทศจะพัฒนาอย่างมั่นคง สันติสุข ยั่งยืน ตลอดกาลนาน ควรที่รัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ราชการ ภาครัฐ ภาคประชาชน พสกนิกรชาวไทย ทุกองค์กร ทุกภาคส่วน จักได้น้อมนำไปประพฤติเป็นวัตรปฎิบัติ อันเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ อันจะเป็นคุณต่อประเทศชาติ และชาวไทยอย่างมหาศาล
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงได้กำเนิดองค์การคณะทำงานร่วมการปฎิบัติงานพัฒนาหมู่บ้านชนบท สนองแนวพระราชดำริ (คพร.) ขึ้น
รางวัลที่ได้รับ
(29 สิงหาคม 2557) คพร. รับรางวัลเชิดชูเกียรติที่เทศบาล ตำบลบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน